วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

จงบอกประวัติบุคคลสำคัญทางคอมพิวเตอร์ในต่างประเทศ

บุคคลสำคัญทางคอมพิวเตอร์


จอห์น เนเปียร์ (Neper John Napier ค.ศ. 1550-1617)
จอห์น เนเปียร์ นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ เกิดในปี พ.ศ. 2093 ที่ Merchiston Castle, Edinburgh, Scotland เนเปียร์ ได้สร้างตารางการคูณบนชุดของแท่งต่างๆ แต่ละด้านบรรจุตัวเลขที่สัมพันธ์กันในลักษณะความก้าวหน้าเชิงคณิตศาสตร์ สามารถหาค่ารากที่สอง รากที่สาม และสามารถคูณหรือหารเลขจำนวนมากๆ และการยกกำลังจำนวนมาก ๆ ให้ได้ผลลัพธ์ถูกต้องและรวดเร็วได้ และได้แปลงปัญหาของการคูณที่ซับซ้อนไปเป็นปัญหาการบวกที่ง่ายขึ้น เครื่องมือที่เรียกว่า สไลด์รูล (slide rule) เพื่อใช้ในการคูณ และเครื่องมือนี้เป็นต้นกำเนิดของ แอนาล็อกคอมพิวเตอร์(analog computer)
นักคณิตศาสตร์มิได้ถือว่าแท่งของเนเปียร์นี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เนเปียร์ได้มอบให้แก่วงการวิทยาศาสตร์ แม้ว่าจะมีผู้ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วยุโรป แต่เขากลับเป็นผู้ที่รู้จักดีในฐานะผู้ประดิษฐลอกาลิทึม
เขาได้สร้างตารางลอการิทึม(logarithms) ฐาน e ขึ้น และ พ.ศ. 2160 ได้มีการดัดแปลงเครื่องมือเพื่อประโยชน์ในการคูณ หาร และการถอดกรณฑ์ (root) เรียกว่า Napier’s bone ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่งไม้สี่เหลี่ยม หนึ่งชุดจะประกอบด้วยแท่งไม้จำนวน 9 แท่ง



จอห์น เนเปียร์ เสียชีวิตทึ่เมือง Edinburgh, Scotland เมื่อวันที่ 4เมษายน พ.ศ. 2160 รวมอายุได้ 67 ปี


แบลส ปาสกาล

แบลส ปาสกาล (ฝรั่งเศส: Blaise Pascal) เกิดเมื่อ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2166 (ค.ศ. 1623) ที่เมือง Clermont (ปัจจุบันคือเมือง Clermont - Ferrand) ประเทศฝรั่งเศส เสียชีวิตเมื่อ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2205 ค.ศ. 1662 ที่เมือง ปารีส ประเทศฝรั่งเศส



แบลส ปาสกาล คือนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักปรัชญาผู้เคร่งครัดในศาสนา ปาสกาลเป็นเด็กที่มหัศจรรย์มีความรู้เหนือเด็กทั่ว ๆ ไปโดยได้ศึกษาเล่าเรียนจากพ่อของเขาเอง ปาสกาลจะตื่นทำงานแต่เช้าตรู่ท่ามกลางธรรมชาติโดยมักเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ที่ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างเครื่องคิดเลขและการศึกษาเกี่ยวกับของเหลว ทำให้เขาเข้าใจความหมายของความดันและสุญญากาศด้วยการอธิบายของ อีวันเกลิสตา ตอร์ริเชลลี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของกาลิเลโอ

ปาสกาลเป็นหนึ่งในนักคณิตศาสตร์ที่โด่งดังที่สุดในวงการคณิตศาสตร์ เขาสร้างสองสาขาวิชาใหม่ในการทำรายงาน เขาเขียนหนังสือที่สำคัญบนหัวข้อผู้ออกแบบเรขาคณิตเมื่ออายุเพียง 16 ปีและยังติดต่อกับ ปิแยร์ เดอ แฟร์มาต์ ในปี พ.ศ. 2197 (ค.ศ. 1654) เกี่ยวกับทฤษฎีความน่าจะเป็น ความมั่นคง อิทธิพลของการพัฒนาของเศรฐกิจสมัยใหม่และวิทยาศาสตร์สังคม ประสบการณ์อันน่ามหัศจรรย์ในปี พ.ศ. 2197 (ค.ศ. 1654) ปาสกาลออกจากวงการคณิตศาสตร์และฟิสิกส์โดยอุทิศตัวเพื่องานเขียนเกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา สองงานของเขามีชื่อเสียงมากในช่วงเวลานั้นคือLettres provinciales และ Pens?es อย่างไรก็ตามเขาได้รับโรคร้ายเข้าสู่ร่างกาย และได้เสียชีวิตหลังจากงานวันเกิดครบรอบอายุ 39 ปีเพียงสองเดือน



กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ

กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ฟอน ไลบ์นิซ (อังกฤษ: Gottfried Wilhelm von Leibniz) (1 กรกฎาคม ค.ศ. 1646 (พ.ศ. 2189) ในเมืองไลป์ซิก ประเทศเยอรมนี 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1646 - 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1716 (พ.ศ. 2259)) เป็นนักปรัชญา, นักวิทยาศาสตร์, นักคณิตศาสตร์, นักการทูต, บรรณารักษ์ และ นักกฎหมาย ชาวเยอรมันเชื้อสายเซิบ เขาเป็นคนที่เริ่มใช้คำว่า "ฟังก์ชัน" สำหรับอธิบายปริมาณที่เกี่ยวกับเส้นโค้ง เช่น ความชันของเส้นโค้ง หรือจุดบางจุดของเส้นโค้งดังกล่าว ไลบ์นิซและนิวตันได้รับการยกย่องร่วมกันว่าเป็นผู้เริ่มพัฒนาแคลคูลัส โดยเฉพาะส่วนของไลบ์นิซในการพัฒนาปริพันธ์และกฎผลคูณ





ชาร์ลส แบบเบจ




ชาร์ลส แบบเบจ (อังกฤษ: Charles Babbage) เกิดปี ค.ศ. 1791 (พ.ศ. 2334) ที่อังกฤษ ในครอบครัวของนายธนาคาร แบบเบจเติบโตมาในยุคที่อังกฤษเป็นมหาอำนาจ และกำลังอยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลสนับสนุนให้ทุนการพัฒนาในสาขาต่าง ๆ อย่างเต็มที่. แบบเบจศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่ ทรินิตี้ คอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่คณะคณิตศาสตร์ (Mathematical Laboratory).

ช่วงเป็นนักศึกษา เขารวมกลุ่มกับเพื่อน ทำ induction of the Leibnitz notation for the Calculus ขึ้นจนมีชื่อเสียง ทำให้มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนการสอน. พอเรียนจบ แบบเบจก็ตัดสินใจเป็นอาจารย์ต่อที่คณะ. ในปี ค.ศ. 1814, แบบเบจสมรสกับ Geogiana Whitmore นักคณิตศาสตร์หญิงคนเก่งคนหนึ่งในยุคนั้น.

ในทางคณิตศาสตร์ แบบเบจเน้นศึกษาด้านแคลคูลัสเป็นพิเศษ. ปี ค.ศ. 1816 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Fellow ของ Royal Society. ปี ค.ศ. 1820 เขาตั้งชมรมด้านดาราศาสตร์ขึ้น พร้อม ๆ กับเริ่มทำงานวิจัยสำคัญของเขาในยุคต้น ที่ทำให้เขาโด่งดังมากคือ Difference Engine (ใช้ Newton's method of successive differences). ในปี ค.ศ. 1828 แบบเบจได้รับแต่งตั้งให้เป็น the Lucasian Chair of Mathematics at Cambridge (เหมือนกับ เซอร์ ไอแซก นิวตัน และ สตีเฟ่น ฮอว์คิง) ต่อมา แบบเบจขยายงานมาศึกษาเครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) เพื่อสร้างเป็น เครื่องจักรที่สามารถรองรับการคำนวณทุกชนิด (ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์) แต่ก็เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น เพราะเขาไม่สามารถสร้างออกมาในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ เนื่องจากมีคนไม่เห็นด้วยมากมาย เพราะความคิดของเขาทันสมัยเกินกว่าเทคโนโลยีในยุคนั้น จนทุก ๆ คนคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ จึงโดนตัดงบวิจัยในปี ค.ศ. 1832. แต่แบบเบจก็ฝืนทำต่อแบบไม่มีงบประมาณ จนทำไม่ไหว จนต้องปิดโครงการนี้ไป ในปี ค.ศ. 1842.

พอปี ค.ศ. 1856, แบบเบจก็เริ่มมีฐานะขึ้นมาจากงานอื่นๆ เพราะนอกจากเป็นนักคณิตศาสตร์แล้ว เค้าก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี การเมือง และเศรษฐกิจ อีกด้วย (เป็น a Celebrated Policial Economist แห่งยุค) เขาจึงเอาเงินทุนมาลงทุนทำวิจัยด้านเครื่องวิเคราะห์ต่อ แต่ก็ต้องทำและแก้หลายครั้ง จนเขาเสียชีวิตไปในปี ค.ศ. 1871 (แล้วลูกชายเขามาสานต่อ). ช่วงก่อนตาย เขาเขียนหนังสือชื่อดัง (ดังยุคหลัง) ชื่อ Passages from the life of a Philosopher เพราะในปีที่เขาเสียชีวิต โลกยังไม่ค่อยรู้จักเขา. เครื่องวิเคราะห์ของเขาไม่มีคนสนใจลงมือสร้างเป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งอีกประมาณ 40 ปีต่อมา หลังจากเขาตาย มีคนเอางานเขาไปเผยแพร่จนเป็นที่ชื่นชม แล้วคนยุคหลังก็นำสมองของเขา (ที่ดองเอาไว้ในแอลกอฮอล์) มาผ่าเพื่อศึกษาความสามารถในการคิดของเขา (ถูกนิยามไว้ว่าเป็น one of the most profound thinker of the century).

ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ แบบเบจเชื่อว่า โลกเรานี้สามารถวิเคราะห์ทำนายได้ (a world where all things were dutifully quantified and could be predicted) โดยได้รับความสนับสนุนจาก Laplace ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทในวงการว่า ถ้าจิตใจมนุษย์สามารถเข้าใจพฤติกรรมของอนุภาคเล็กๆ มันจะอธิบายทุกอย่างได้ (if a mind could know everything about particle behavior, if could describe everything: nothing would be uncertain, and the future, as the past, could be present to our eyes). ปี ค.ศ. 1856, แบบเบจเสนองาน "Table of Constants of the Nature and Art" ที่อ้างว่า รวบรวมข้อเท็จจริงทุกอย่าง สำหรับอธิบายศาสตร์ทางวิทย์และศิลป์ ด้วยตัวเลข

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
แบบเบจชอบไฟมาก ขนาดลองเอาเตาอบมาอบตัวเองเล่นที่ 265 องศาฟาเรนไฮต์เป็นเวลา 5-6 นาที หรือพยายามปีนภูเขาไฟเวซูเวียส เพื่อที่จะไปดูลาวาเดือด ๆ



เลดี้ เอดา ออกัสตา ลัฟเลซ

เลดี้ เอดา ออกัสตา ลัฟเลซ (Lady Ada Augusta Lovelace) นักคณิตศาสตร์ผู้ร่วมงานของแบบเบจ เป็นผู้ที่เข้าใจในผลงานและแนวความคิดของแบบเบจ จึงได้เขียนบทความอธิบายเทคนิคของการเขียนโปรแกรม วิธีการใช้เครื่องเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดความเข้าใจในผลงานของแบบเบจได้ดีขึ้น Ada จึงได้รับการยกย่องให้เป็น นักโปรแกรมคนแรกของโลก





ยอร์ช บูล

ยอร์ช บูล (George Boole) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้สร้างแนวคิดเกี่ยวกับระบบพีชคณิตแบบใหม่ เรียกว่า Boolean Algebra เพื่อใช้หาข้อเท็จจริงจากเหตุผลต่าง ๆ และแต่งตำราเรื่อง “The Laws of Thoughts” ว่าด้วยเรื่องของการใช้เครื่องหมาย AND, OR, NOT ซึ่งเป็นรากฐานทางคณิตศาสตร์ให้กับการพัฒนาทางด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สวิตช์ปิดหรือเปิด การไหลของกระแสไฟฟ้า ไหลหรือไม่ไหล ตัวเลขจำนวนบวกหรือลบ เป็นต้น โดยที่ผลลัพธ์ที่ได้จากพีชคณิตจะมีเพียง 2 สถานะคือ จริงหรือเท็จเท่านั้น ซึ่งอาจจะแทนจริงด้วย 1 และแทนเท็จด้วย 0



Alan Mathison Turing
อลัน มาธิสัน ทัวริง


เกิด วันที่ 23 มิ.ย. 1912 ที่กรุงลอนดอน อังกฤษ
เสียชีวิต วันที่ 7 มิ.ย. 1954 ที่เมืองวิล์มสโล อังกฤษ


ผลงาน : ทฤษฎีความสามารถคำนวณได้ของคอมพิวเตอร์ (Computability) , การทดสอบความฉลาดของคอมพิวเตอร์ (Turing test), เครื่องจักรทัวริง (universal Turing machine)

อลัน ทัวริง (Alan Turing) คิดค้นเครื่องจักรทัวริง (Turing machine) เครื่องมือในฝันที่สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง ถ้าเพียงแต่เราจะใส่วิธีทำลงไป ซึ่งกลายเป็นต้นแบบแรกเริ่มของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ทัวริงแมชชีนเป็นเครื่องมือมหัศจรรย์ เพราะเป็นครั้งแรกที่เราแยก "อุปกรณ์" ออกจาก "ความสามารถของอุปกรณ์" นั้นได้ การทำงานของเครื่องไม่ได้ถูกกำหนดมาล่วงหน้า แต่ขึ้นอยู่กับวิธีทำหรืออัลกอริทึมที่แนบมาด้วย

เครื่องจักรทัวริงนั้นไม่้ยุ่งยาก ทำงานเป็นเหมือนเครื่องอ่านม้วนกระดาษยาวๆ (หรือเทป) ลองคิดดูว่าเรามีกระดาษเก็บข้อมูลยาวๆ ไม่สิ้นสุด บนกระดาษจะบันทึกเลขสองตัวคือ ศูนย์และหนึ่ง เช่น ...0011011000100... ทัวริงแมชชีนมีหัวอ่านค่าในกระดาษนี้ ที่บอกว่าตอนนี้กำลังอ่านเลขตัวไหนอยู่ตรงไหน และรู้ว่าตอนนี้อยู่ในสถานะใด (ทัวริงแมชชีนมีได้หลายสถานะ แล้วแต่ข้อมูลที่กำลังอ่านอยู่) วิธีทำที่แนบมาด้วยสามารถสั่งให้ทัวริงแมชชีนทำงานได้สี่ประการ







Dr. John V. Atanasoff
ดร. จอห์น วี. อะทานาซอฟฟ์


(1903-1995 )

ผลงานเด่น : ABC ,คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรก





จอห์น วี. อะทานาซอฟฟ์ (John V. Atanasoff) เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ.1903 ที่เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ท่านเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นคนแรก คือเครื่อง ABC เมื่อปี ค.ศ. 1937 (ก่อนหน้านี้เป็นคอมพิวเตอร์แบบเครื่องจักรกล) ในขณะนั้นเขาอาจไม่รู้ว่าผลงานของเขาจะมีบทบาทต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ ในอนาคตมากมายขนาดนี้ เขาได้เปิดประตููสู่ยุคคอมพิวเตอร์ีให้กับคนรุ่นหลังได้พัฒนาต่อยอดมาจนกลายเป็น คอมพิวเตอร์ในปัจุบัน

ท่านเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1995





Jonathan Bruce Postel
โจนาธาน บรูซ โพสเทล


เกิดวันที่ 6 สิงหาคม 1943, USA
เสียชีวิตวันที่ 16 ตุลาคม 1998 ที่ลอสแองเจิลลิส USA




ผลงาน : อินเตอร์เน็ต (internet)



โจนาธาน บรูซ โพสเทล (Jonathan Bruce Postel) เป็นบุคคลสำคัญในการสร้างมาตรฐานในการสื่อสารคอมพิวเตอร์ผ่านอินเตอร์เน็ตหลายอย่าง มาตรฐานต่าง ๆ เหล่านี้เขาได้เขียนไว้ในเอกสารชุด RFC เช่น โปรโตคอลหรือข้อตกลงในการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต




Clive Sinclair
ไคลฟ์ ซินแคลร์



เกิดวันที่ 30 กรกฎาคม 1949

ผลงาน: ไมโครโพรเซสเซอร์ชุด ZX80 ซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กลงและราคาต่ำลง ทำให้สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้



เกิดที่เมืองริชมอนด์ เขาสนใจเรื่องไฟฟ้ามาตั้งแต่เด็ก เขามีบริษัทชื่อ Sinclair Radionics ซึ่งประดิษฐ์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกสู่ตลาด เช่น เครื่องคิดเลขขนาดประเป๋า นาฬิกาดิจิตอล และที่สำคัญคือไมโครโพรเซสเซอร์ชุด ZX80 ซึ่งถือว่าเล็กที่สุดในโลกขณะนั้น ซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กลงและราคาต่ำลง จนสามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อใช้ในบ้านหรือที่ทำงานได้ นั่นคือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล






Grace Murray Hopper
เกรซ มัวเรย์ ฮอปเปอร์


เกิด: นิวยอร์ค เมื่อ 9 ธันวาคม1906
เสียชีวิต : เวอร์จิเนีย เมื่อ 1มกราคม 1992

ผลงาน : ภาษาโคบอล (COBOL : Common Business-Oriented Language)



เกรซ มัวเรย์ ฮอปเปอร์ (1906-1992) เป็นเจ้าหน้าที่ทหารเรือสหรัฐ นักคณิตศาสตร์ และเป็นผู้บุกเบิกการประมวลผลข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ เธอเกิดที่เมืองนิวยอร์ค และเรียนที่มหาวิทยาลัยเยล ทั้งบิดาและมารดาของเธอเป็นแรงผลักดันที่สำคัญ ทั้งคู่์ชอบวิชาคณิตศาสตร์และได้ส่งเสริมและสอนฮอปเปอร์เช่นเดียวกัน ฮอปเปอร์ใช้เวลาครึ่งศตวรรษในการทำงานอันยิ่งใหญ่คือช่วยสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี เธอได้รับมอบหมายให้เป็นนักเขียนโปรแกรมสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ Mark I (มาร์ค-วัน) ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่เครื่องแรกของสหรัฐและยังเป็นคอมพิวเตอร์จักรกล แต่ผลงานที่น่าจดจำของเธอคือสร้างคอมไพเลอร์ (โปรแกรมแปลภาษาคล้ายที่มนุษย์ใช้ไปเป็นภาษาเครื่องที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ) ครั้งแรกในปี 1952 ในขณะที่เธอทำงานที่บริษัท Eckert-Mauchly Computer จากนั้นเธอได้ร่วมมือกับผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ สร้างภาษาสำหรับคำนวณเชิงธุรกิจภาษาแรกคือ ภาษาโคบอล (COBOL: Common Business-Oriented Language) ที่ใช้ในเครื่อง UNIVAC ภาษานี้นับว่าเป็นสะพานเชื่อมระหว่างความต้องการของนักธุกิจกับนักเขียนโปรแกรม

นอกจากนี้ ฮอปเปอร์เคยเป็นอาจารย์สอนการเขียนโปรแกรม และเป็นที่ปรึกษาของบริษัท DEC (Digital Equipment Corporation)

เกร็ดความรู้ : นักเขียนโปรแกรมคงจะรู้จักคำว่า bug และ debug เป็นอย่างดี คำนี้คนใช้คนแรกคือ ฮอปเปอร์


จงบอกประวัติคอมพิวเตอร์มาทั้ง 5 ยุค

วิวัฒนาการคอมพิวเตอร์

ยุคที่ 1 หลอดสุญญากาศ ค. ศ. 1951-1958

- วงจรสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สร้างด้วย หลอดสุญญากาศ(vacuum tubes)
- หน่วยความจำสร้างจากดรัมแม่เหล็ก (magnetic drum)
- ใช้ บัตรเจาะรู (punch card) ในการเก็บข้อมูลและโปรแกรม
- คำสั่งหรือโปรแกรมสร้างด้วย ภาษาเครื่อง (machine language)
- คอมพิวเตอร์ยังทำงานช้า เกิดข้อผิดพลาดได้สูง
- ราคาแพงมาก
- ยากต่อการสร้างโปรแกรมควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างคอมพิวเตอร์ในยุคแรก ได้แก่ UNIVAC
(Universal Automatic Computer)



หลอดสุญญากาศ

เครื่องคอมพิวเตอร์มาร์ค วัน





ยุคที่ 2 ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ค. ศ. 1959 - 1964


- ใช้ ทรานซิสเตอร์(Transistor)
- ขณะทำงานมีความร้อนน้อยกว่า ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าการใช้หลอดสุญญากาศ
- มีความเร็วและความถูกต้องแม่นยำสูง
- หน่วยความจำภายในเป็น magnetic core
- หน่วยความจำภายนอกใช้ magnetic tape ที่มีความจุสูงกว่าบัตรเจาะรู
- เครื่องพิมพ์สามารถทำงานได้เร็วมาก 600 บรรทัดต่อนาที ภาษาที่ใช้สร้าง
- โปรแกรมเป็นภาษาระดับต่ำ (low-level language) ที่เรียกว่า
symbolic language ได้แก่ ภาษาแอสเซมบลี (Assembly)
และ ภาษาระดับสูง (high-level language) ได้แก่ ภาษา FORTRAN (ค.ศ. 1954)
ภาษา COBOL (ค. ศ. 1959) ที่ง่ายต่อการเขียนโปรแกรม
- เริ่มมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในหน่วยงานธุรกิจอย่างแพร่หลาย



ทรานซิสเตอร์


ยุคที่ 3 ไอซี (Integrated Circuits: IC) ค. ศ. 1965-1970


- ใช้วงจรรวมที่เรียกว่า Integrated Circuit : IC แทน Transistor
- IC มีคุณสมบัติทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีความเชื่อถือได้สูงมากกว่าการใช้ Transistor
- ใช้จานแม่เหล็ก Magnetic disk มาใช้เก็บข้อมูลที่มีจำนวนมาก
- พัฒนาเครื่องพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ได้เป็น 1,000 บรรทัด
- ภาษาที่ใช้สร้างโปรแกรมควบคุมคอมพิวเตอร์ยังคงใช้ภาษาระดับสูง
- มีการสร้างภาษา BASIC ขึ้นใช้ ทำให้ง่ายต่อการสร้างโปรแกรมสั่งงานคอมพิวเตอร์
- ตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ได้แก่ System/630 ของบริษัท IBM
เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก PDP-11 ของบริษัท DEC (Digital
Equipment Corporation)



วงจรรวม หรือวงจรไอซี



ยุคที่ 4 LSI, VLSI (Large and Very Large Scale Integration) ค. ศ. 1971-1990

- ใช้วงจรรวมขนาดใหญ่(Large Scale Integration circuit : LSI)
- วงจรมีทรานซิสเตอร์ (transistor) จำนวนหลายพันตัวอยู่บน ชิป(chip) เรียกว่า Microprocessor
- ต่อมาได้มีการพัฒนาให้เป็น VLSI (Very Large Scale Integration)
ที่สร้าง transistor จำนวนหลายล้านตัวลงบน Chip เพียงตัวเดียว
- Microprocessor มีประสิทธิภาพสูงมาก มีความเร็วมีหน่วยเป็น Nanosecond (1/1,000,000,000 วินาที)
- ตัวอย่างคอมพิวเตอร์ยุคนี้ได้แก่ Microcomputer ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย
ในปัจจุบันนี้




วงจรวีแอลเอสไอ



ยุคที่ 5 คอมพิวเตอร์ในอนาคต ปี ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา

- เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถสูงมากๆ ทำงานได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
- หน่วยประมวลผลเป็น Microprocessor Chip ที่มีความเร็วสูงมาก ประกอบ
Register หลายสิบล้านตัว เช่น CPU Intel Pentium III ของบริษัท Intel
- มีความฉลาดในการประมวลผล เรียกว่า Intelligent Computer
มีลักษณะ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ระบบผู้เชี่ยวชาญ
(Expert System)
- เป็นคอมพิวเตอร์ที่เข้าใจภาษาธรรมชาติของมนุษย์(Natural Language)
- มีการวิจัยคอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 ในญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ เป็นต้น
- ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็นภาษาระดับสูง ภาษาแบบ Visual เช่น Visual BASIC
- ประยุกต์ใช้งานทุกด้าน โดยเฉพาะการประมวลผลด้าน Multimedia

สรุป วิวัฒนาการคอมพิวเตอร์

วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ยุคแรก
คอมพิวเตอร์ยุคแรก เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศ จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลข


คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกน
เฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึก แม่เหล็ก


คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม
คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม โดยวงจรรวมแต่
ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายใน


คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่
คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรความจุสูงมาก
ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสำนักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในที่ต่างๆ ได้


คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า
คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วย
ในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่างๆ เข้าไว้ในเครื่อง

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

ไวรัสคอมพิวเตอร์มี 5 ประเภท ได้แก่
1 บูตไวรัส
2 ไฟล์ไวรัส
3 มาโครไวรัส
4 โทรจัน
5 หนอน
บูตไวรัส


บูตไวรัส (boot virus) คือไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แพร่เข้าสู่เป้าหมายในระหว่างเริ่มทำการบูตเครื่อง ส่วนมาก มันจะติดต่อเข้าสู่แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ระหว่างกำลังสั่งปิดเครื่อง เมื่อนำแผ่นที่ติดไวรัสนี้ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ไวรัสก็จะเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ตอนเริ่มทำงานทันที

บูตไวรัสจะติดต่อเข้าไปอยู่ส่วนหัวสุดของฮาร์ดดิสก์ ที่มาสเตอร์บูตเรคคอร์ด (master boot record) และก็จะโหลดตัวเองเข้าไปสู่หน่วยความจำก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะเริ่มทำงาน ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ไฟล์ไวรัส
ไฟล์ไวรัส (file virus) ใช้เรียกไวรัสที่ติดไฟล์โปรแกรม เช่นโปรแกรมที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต นามสกุล.exe โปรแกรมประเภทแชร์แวร์เป็นต้น


มาโครไวรัส
มาโครไวรัส (macro virus) คือไวรัสที่ติดไฟล์เอกสารชนิดต่างๆ ซึ่งมีความสามารถในการใส่คำสั่งมาโครสำหรับทำงานอัตโนมัติในไฟล์เอกสารด้วย ตัวอย่างเอกสารที่สามารถติดไวรัสได้ เช่น ไฟล์ไมโครซอฟท์เวิร์ด ไมโครซอฟท์เอ็กเซล เป็นต้น


หนอน
หนอน (Worm) เป็นรูปแบบหนึ่งของไวรัส มีความสามารถในการทำลายระบบในเครื่องคอมพิวเตอร์สูงที่สุดในบรรดาไวรัสทั้งหมด สามารถกระจายตัวได้รวดเร็ว ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งสาเหตุที่เรียกว่าหนอนนั้น คงจะเป็นลักษณะของการกระจายและทำลาย ที่คล้ายกับหนอนกินผลไม้ ที่สามารถกระจายตัวได้มากมาย รวดเร็ว และเมื่อยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ระดับการทำลายล้างยิ่งสูงขึ้น


อื่นๆ

โทรจัน
ม้าโทรจัน (Trojan) คือโปรแกรมจำพวกหนึ่งที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแอบแฝง กระทำการบางอย่าง ในเครื่องของเรา จากผู้ที่ไม่หวังดี ชื่อเรียกของโปรแกรมจำพวกนี้ มาจากตำนานของม้าไม้แห่งเมืองทรอยนั่นเอง ซึ่งการติดนั้น ไม่เหมือนกับไวรัส และหนอน ที่จะกระจายตัวได้ด้วยตัวมันเอง แต่โทรจัน (คอมพิวเตอร์)จะถูกแนบมากับ อีการ์ด อีเมล์ หรือโปรแกรมที่มีให้ดาวน์โหลดตามอินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์ใต้ดิน และสุดท้ายที่มันต่างกับไวรัสและเวิร์ม คือ มันจะสามารถเข้ามาในเครื่องของเรา โดยที่เราเป็นผู้รับมันมาโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง 22:22:00 โดย Bee_Eeyore ลบ

ประวัติแฮกเกอร์

Hacker ก็คือ ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบคอมพิวเตอร์อย่างสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครือข่าย , ระบบปฏิบัติการ หรือ เรื่องของทางจิตวิทยาเองก็ตาม พวกเขามีความรู้ทางด้านนี้สูงมากซะจน สามารถเข้าใจว่า มันมีช่องโหว่ตรงไหน หรือสามารถไปค้นหาช่องโหว่ได้จากตรงไหนบ้าง เมื่อก่อนภาพลักษณ์ของ Hacker จะเป็นพวกชั่วร้าย ชอบขโมยข้อมูล หรือ ทำลายให้เสียหาย แต่เดี๋ยวนี้ คำว่า Hacker หมายถึง Security Professional ที่คอยใช้ความสามารถช่วยตรวจตราระบบ และแจ้งเจ้าของระบบว่ามีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง พูดง่ายๆว่า มีจริยธรรมในความเป็น Hacker นั่นเอง ในต่างประเทศมีวิชาที่สอนถึงการเป็น Ethical Hacker (แฮกเกอร์แบบมีจริยธรรม) กันเลยทีเดียว ซึ่งแฮกเกอร์แบบนี้เรียกอีกอย่างว่า White-Hat Hacker ก็ได้ เปรียบเสมือนฝ่ายเจได ใน Star War ค่ะ




Jonathan James


ตอนที่หมอนี่โดนจับ ทั่วทั้งอเมริกาแตกตื่น เพราะหมอนี่อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น Jonathan James หรือชื่อรหัสในโลก Hacker ก็คือ c0mrade ได้สร้างชื่อด้วยการเจาะระบบมากมาย ตั้งแต่บริษัทโทรศัพท์ BellSouth ไปจนถึงหน่วยงาน DTRA ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 1999 หมอนี่ Hack เข้าไปฝังตัว Backdoor ใน Nasa ซึ่งทำให้อ่านข้อมูลลับได้มากมายรวมไปถึงขโมยโปรแกรมที่ทาง Nasa พัฒนาขึ้นด้วยเงินมหาศาลถึง 1.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปหน้าตาเฉย ซึ่งในภายหลังทาง Nasa ต้องปิดระบบถึงสามสัปดาห์เพื่อแก้ไข ทำให้สูญเสียเงินไปอีก 41,000 $

ปล. หมอนี่บอกกับศาลว่า เค้าอยากได้โปรแกรมมาเพื่อฝึกฝีมือภาษา C ของตัวเองเท่านั้น แต่พอขโมยมาได้ ก็ไม่อยากจะบอก ว่าโปรแกรมห่วยๆนั่นมีค่าถึง 1.7 ล้านดอลล่าร์เลยหรอ






Adrian Lamo


อีตานี่ก็เป็นอีกหนึ่ง Hacker ที่แสบไม่แพ้กัน ซึ่งคนที่โดน Adrian Lamo เจาะเข้าไป ก็มีตั้งแต่ หนังสือพิมพ์ The New York Times , Microsoft , Yahoo , Bank of America , CitiGroup และ Cingular ซึ่งที่ๆสร้างชื่อเสียงที่สุดให้เขาก็คือ การที่เขาเจาะเข้าไปใน The New York Times และเอาชื่อตัวเองเข้าไปใส่ไว้ใน แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ระดับสูงของหนังสือพิมพ์ The New York Times และใช้บัญชีของนักเขียนชื่อดัง LexisNexis ในการค้นคว้างานวิจัยจากฐานข้อมูลของ The New York Times อีกด้วย 
 หลังจากที่ใช้กรรม ไปมากมาย ตอนนี้ Adrian Lamo ทำงานเป็นนักข่าว และนักพูด เกี่ยวกับวงการ Hacker และพึ่งจะได้รับรางวัลนักข่าวยอดเยี่ยมมาไม่นานนี้เอง



Kevin Mitnick


นี่คือชายที่ครั้งหนึ่ง กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐเคยหมายหัวไว้ว่า “อาชญากรทางคอมพิวเตอร์ที่ทางสหรัฐต้องการตัวมากที่สุด” เพราะเขาคือคนแรกที่ทำให้คำว่า Hacker โด่งดังไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ ผลงานของ Mitnick อาจจะเก่าไปซักหน่อย เพราะพี่ท่านเล่น Hack มาตั้งแต่ช่วงปี 70’ กับผลงานการเจาะระบบ Punch Card ของ Los Angeles Bus System ทำให้เขาสามารถขึ้นรถเมล์ได้ฟรีตั้งกะอายุ 12. เข้าไปป่วนระบบโทรศัพท์ทำให้โทรทางไกลได้ฟรีๆ จากนั้นก็ ขโมยข้อมูลของบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดังอย่าง DEC (Digital Equipment Corporation) ตามด้วยหน่วยงานด้านการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ โอ๊ย อีตานี่ 
 หลังจากที่ไปรับกรรมในคุกอยู่สองปีครึ่ง ตอนนี้เค้าก็กลายเป็น Hacker ที่หลายๆบริษัทขอความช่วยเหลือในการตรวจสอบระบบครับ



Kevin Poulsen



มีชื่อเรียกสวยเก๋ในวงการแฮกเกอร์ว่า Dark Dante, ผลงานเด่นๆของ Kevin Poulsen ก็คือการที่เค้าเจาะระบบโทรศัพท์ของสถานีวิทยุ KIIS-FM ใน LA ทำให้เค้าได้รางวัลรถ Porsche มาครอง และที่เด่นๆ ก็คือ อีตานี่แหย่หนวดเสือไป เจาะระบบฐานข้อมูลของ FBI ครับ และที่สำคัญก็คือ ระบบดักฟังของ FBI ครับ หลังจากที่ Kevin Poulsen โดนซิวไป 5 ปี ตอนนี้เค้าก็กลายเป็น นักข่าวอาวุโสของสำนักข่าว Wired News และคอยช่วยเหลือในการไล่จับพวก BlackHat คนอื่นๆอีกมากมาย